‘โรม’ จี้ทบทวนอ้าแขนรับ ‘อดีตผู้นำศรีลังกา’ เข้าไทย เกิดประโยชน์ใดกับชาติ ซัด ‘ประยุทธ์’ ฉุดภาพลักษณ์ประเทศมัวหมองในสายตานานาชาติ
เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ นายโคฐาภยะ ราชปักษะ อดีตประธานาธิบดีศรีลังกา เดินทางถึงประเทศไทยเมื่อค่ำวันที่ 11 สิงหาคม หลังจากนายราชปักษะหลบหนีออกนอกศรีลังกาเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา เนื่องจากถูกประท้วงต่อต้านอย่างหนักในประเทศ จนต้องบินหนีไปที่ประเทศสิงคโปร์
นายรังสิมันต์กล่าวว่า ต้อนรับอดีตผู้นำศรีลังกาที่ถูกขับไล่อย่างสบายใจ แต่ผลักไสผู้ลี้ภัยจากสงคราม รัฐบาลประยุทธ์จะฉุดภาพลักษณ์ประเทศไทยในสายตานานาชาติให้ตกต่ำถึงขนาดไหน?
“กรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออกมายืนยันกรณีที่อดีตประธานาธิบดีศรีลังกากำลังจะขอเข้ามาพักรอลี้ภัยไปประเทศที่สามจริงนั้น ผมรู้สึกแปลกใจมากว่าเหตุผลใดรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ถึงเอาประเทศไทยมาเป็นบ้านพักชั่วคราวให้ผู้นำที่ถูกประชาชนขับไล่จนต้องหนีออกมา แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ลี้ภัยสงครามชาวเมียนมา กรณีค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา หรือผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่อยู่ในสถานะหลบหนีภัยภายในประเทศ กลับเจอชะตากรรมที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ที่ผ่านมา มีการร้องเรียนเข้ามาในกรรมาธิการการต่างประเทศให้ช่วยหาทางออกและการจัดการอย่างมีมนุษยธรรมต่อผู้ลี้ภัยอยู่หลายครั้ง เนื่องจากมีการร้องเรียนว่ามีมาตรการจากทางรัฐบาลที่ไม่เป็นไปตามหลักการที่ควร รวมถึงมีความพยายามกีดกัน ไปจนถึงส่งกลับผู้ลี้ภัยมาแล้วจากหลายกรณีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จนทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหายอย่างมาก
“กลับกันพอเป็นอดีตประธานาธิบดีที่มีข้อสงสัยว่าเกี่ยวพันกับการอุ้มหาย ซ้อมทรมานประชาชนในศรีลังกาจนหาที่ไปไม่ได้ รัฐบาลไทยกลับอ้าแขนรับเข้ามาอย่างหน้าตาเฉยราวกับว่านี่คือเราไม่แคร์สายตาประชาคมโลกว่าจะมองประเทศเราเป็นอย่างไร กับการสองมาตรฐานในการต้อนรับผู้ลี้ภัยเช่นนี้
“ผมอยากเรียนคุณประยุทธ์ว่า ในฐานะของนายกรัฐมนตรี การกระทำครั้งนี้จะฉุดให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยต้องมัวหมองในสายตานานาชาติ กรณีผู้ลี้ภัยที่ตัวเองมีชนักปักหลังก็ยังจัดการไม่ได้ กลับมาเพิ่มภาระการแก้ไขภาพลักษณ์ประเทศให้กับรัฐบาลถัดไปอีก ยิ่งทำแบบนี้ศักดิ์ศรีประเทศไทยในสายตาชาติอื่นๆ จะเป็นอย่างไร ที่ประเทศเรากลับต้องมากลายเป็นคุกขังผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ และเป็นสถานที่พักตากอากาศให้ผู้นำที่โดนประชาชนขับไล่แบบนี้กัน?
“ผมอยากให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทบทวนให้ดีว่ากรณีเหล่านี้จะสร้างภาพลักษณ์อย่างไร และเกิดประโยชน์อย่างไรต่อประเทศชาติกันแน่ หากการกระทำนี้ไม่มีเหตุผลรองรับที่รับฟังได้มากพอ การเปลี่ยนมาตรการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เป็นที่ยอมรับได้มากขึ้น ทั้งต่อประชาชนและนานาประเทศก็เป็นเรื่องสำคัญที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องตัดสินใจให้ดี เพราะนี่จะเป็นหน้าประวัติศาสตร์อีกหน้าที่ถูกบันทึกไว้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจทำอะไร เพราะอะไร และส่งผลเช่นไรในอนาคตแน่นอน”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง